ฟิลเลอร์ e.p.t.q. ดีอย่างไร?

          ฟิลเลอร์ 𝐞.𝐩.𝐭.𝐪. (epitique : อี.พี.ที.คิว) เป็นฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลี ที่ผ่าน อย.ไทย และเริ่มทำการตลาดในประเทศไทย เป็นฟิลเลอร์สำหรับปรับรูปหน้า ชนิดไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid) จัดจำหน่ายโดยบริษัท เอสทีมา จำกัด (Aestema Co., Ltd.) มีทั้งหมด 3 รุ่น S100S300 และ S500 โดยแต่ละรุ่นจะใช้เฉพาะตำแหน่งแตกต่างกัน และทุกรุ่นมียาชาในตัว ช่วยลดความรู้สึกเจ็บเวลาฉีด

ฟิลเลอร์ e.p.t.q. มีกี่รุ่น? อะไรบ้าง?

          ฟิลเลอร์ e.p.t.q. มีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นหลัก ได้แก่ e.p.t.q. S 100, e.p.t.q. S 300, และ e.p.t.q. S 500 ซึ่งจะแตกต่างกันที่เนื้อฟิลเลอร์ที่ฉีด แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านลักษณะของเนื้อเจล ความนิ่ม ความแข็ง ความหนัก ความเบา ความยืดหยุ่น การยึดเกาะกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และความเหมาะสมในการเติมเต็มใบหน้าในแต่ละบริเวณ มีด้วยกันทั้งหมดดังนี้

1. 𝐞.𝐩.𝐭.𝐪. S100 เป็นรุ่นที่เนื้อนิ่มที่สุดของ e.p.t.q. ภายในกล่องยาจะบรรจุฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 มิลลิลิตร นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นตื้นๆ เพื่อปรับผิวให้เรียบ รอยเหี่ยวย่นลดลง สามารถเติมเต็มผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดเป็นฟิลเลอร์ใต้ตา(ชั้นตื้น) หน้าขมับ และฟิลเลอร์ปาก ผลการรักษาอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน โดยมีจะมีรุ่นย่อย 2 รุ่น คือรุ่นธรรมดา กับรุ่นที่มี Lidocaine 0.3% (e.p.t.q. Lidocaine S 100) ทั้งนี้ฟิลเลอร์ e.p.t.q. S 100 ยังคงมีเนื้อที่ค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นๆ ที่มีเนื้อนิ่มเหมือนกัน ดังนั้นแพทย์จะไม่ค่อยแนะนำให้ฉีดหากมีผิวบาง อายุค่อนข้างมาก หรือในพื้นที่ผิวหนังจะรั้งขึ้นเมื่อแสดงอารมณ์ เช่นบริเวณใต้ตา เนื่องจากจะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน เป็นลำ หรือทำให้ผลการรักษาออกมาไม่เป็นธรรมชาติด้วย

2. 𝐞.𝐩.𝐭.𝐪. S300 เป็นรุ่นที่มีเนื้อแน่นมากกว่ารุ่น S 100 ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 มิลลิลิตร นิยมฉีดในผิวหนังชั้นกลางและชั้นลึก เนื้อไม่แข็ง แต่ก็ไม่ได้นิ่มจนเกินไป ซึ่งจะช่วยให้มีแรงยกมากขึ้น เหมาะกับการเปลี่ยนทรง เปลี่ยนรูปส่วนต่างๆของใบหน้า เช่น หน้าผาก ตาลึกโหล ร่องแก้ม รูปปาก ขอบปาก โดยผลการรักษาอยู่ได้นานประมาณ 8 เดือน สำหรับ ฟิลเลอร์ e.p.t.q. รุ่น  S 300 จะมี 2 รุ่นย่อย คือรุ่นธรรมดา กับรุ่นที่มี Lidocaine 0.3% (e.p.t.q. Lidocaine S 300)

3. 𝐞.𝐩.𝐭.𝐪. S500 เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่เนื้อหนาแน่น และแข็งที่สุดของ e.p.t.q. ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 มิลลิลิตร นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นลึก และมีแรงยกมากที่สุด มักใช้ฉีดเสริมแทนที่กระดูกที่หายไปตามอายุจนทำให้ผิวหน้าหย่อนยาน โดยสามารถใช้ฉีดกรอบหน้า คาง จมูก ใต้ตา(ชั้นลึก) ร่องแก้มลึก  ผลการรักษาจากการฉีดฟิลเลอร์ e.p.t.q. S 500 สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน ซึ่งฟิลเลอร์รุ่นนี้จะมี 3 รุ่นย่อย คือรุ่นธรรมดา, รุ่นที่มี Lidocaine 0.3%, และรุ่นที่มีปริมาณมากกว่าปกติ (e.p.t.q. S 500 3.0 มิลลิลิตร มี 3 เข็มต่อกล่อง) เพื่อใช้ฉีดในผู้ที่อายุมาก มีผิวหนังที่เหี่ยวย่นมากจนต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมากกว่าปกติ หรือใช้ฉีดเป็น Body Filler คือใช้ฉีดส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ไม่ใช่ใบหน้า

ข้อดีของฟิลเลอร์ e.p.t.q.

          e.p.t.q. ที่ผ่านอย. ทั้ง 3 รุ่น มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ช่วยลดความเจ็บขณะฉีด ฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่น เนียนละเอียด ให้ผลลัพธ์ที่สวยงามและดูเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญราคาถูกกว่าฝั่งยุโรปเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

e.p.t.q. เหมาะเติมตรงไหนบ้าง

          บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ e.p.t.q. ได้ มีตั้งแต่ส่วนต่างๆของใบหน้า อย่างหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม แก้ม  ใต้ตา รอบดวงตา จมูก ปาก คาง ไปจนถึงส่วนอื่นๆของร่างกายอย่างมือ หน้าอก สะโพก เอว และก้น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ e.p.t.q. มีข้อจำกัดในพื้นที่ที่ต้องใช้ฟิลเลอร์ที่ค่อนข้างนิ่มเหลวกว่าปกติ เพื่อปรับผิวหนังด้านบนให้เรียนเนียนและเพิ่มความชุ่มชื้น เนื่องจาก ฟิลเลอร์ e.p.t.q. มีเนื้อที่ค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับรุ่นที่มีเนื้อบางเบาของฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นๆ จึงควรระวังเมื่อใช้ฉีดในบริเวณที่ผิวบางอย่างบริเวณใต้ตา ริมฝีปาก และร่องแก้ม ไม่ควรฉีดให้ตื้นจนเกินไป เนื่องจากจะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน เป็นลำ หรือทำให้ผลการรักษาออกมาไม่เป็นธรรมชาติด้วย

ฟิลเลอร์ e.p.t.q. อยู่ได้นานแค่ไหน

          ปกติแล้วร่างกายเราสามารถสลายกรดไฮยาลูรอนิคได้เป็นปกติ เนื่องจากในร่างกายเรามีกรดตัวดังกล่าวอยู่แล้ว พร้อมทั้งยังสร้างและเผาผลาญไปอยู่ตลอดเวลา ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิคที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย ก็จะเกิดกระบวนการดังกล่าวเช่นเดียวกัน ฟิลเลอร์ e.p.t.q. สามารถอยู่ได้ประมาณ 6 – 12 เดือน ก่อนร่างกายจะเผาผลาญจนสลายไป ซึ่งเป็นระยะเวลาโดยเฉลี่ยตามปกติของฟิลเลอร์หลายๆ แบรนด์ แต่หากเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นๆ ในรุ่นที่มีเนื้อฟิลเลอร์คล้ายกัน ฟิลเลอร์ e.p.t.q. จะสลายได้ไวกว่ายี่ห้ออื่นๆ เล็กน้อย ทั้งนี้ ร่างกายของคนเรามีระบบเผาผลาญ (Metabolism) ที่ต่างกัน ยิ่งเป็นผู้ที่มีระบบเผาผลาญดี ฟิลเลอร์ก็จะยิ่งสลายได้เร็วขึ้น นอกจากร่างกายแล้ว การขยับของกล้ามเนื้อ การถูกแสงแดดและความร้อน ก็มีผลต่อการย่อยสลายของฟิลเลอร์ทั้งสิ้น ผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์จึงต้องระวังในเรื่องการถูกแสงแดด ความร้อน รวมถึงการทำเลเซอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์อยู่ใต้ผิวหนังได้นานขึ้น เนื้อของฟิลเลอร์ที่ฉีดก็มีผลเช่นกัน ฟิลเลอร์เนื้อแน่นแข็งจะมีพันธะมาก การสลายตัวของฟิลเลอร์จึงใช้เวลามากกว่า เนื่องจากต้องใช้เวลาสลายพันธะที่นานกว่า ฟิลเลอร์ e.p.t.q. รุ่น e.p.t.q. S 500 จึงเป็นรุ่นที่สลายได้ช้าที่สุด เพราะมีเนื้อแน่นที่สุด

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีด Filler (24 ชั่วโมง)

  1. งดดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดแรง 24 ชั่วโมงก่อนฉีดฟิลเลอร์
  2. งดยากลุ่ม NSAIDs เช่น Aspirin, Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan
  3. งดวิตามินและอาหารเสริมบางประเภทที่มีฤทธิ์เกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิต เช่น St. Johns Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng, และ Vitamin E เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ และอาจเสี่ยงต่ออาการช้ำหลังฉีดได้
  4. งดยาทาผิวชนิดผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  5. ไม่ควรแต่งหน้ามาฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากอาจมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่บริเวณผิวหน้า แต่ถ้าไม่สะดวกก็สามารถแต่งหน้ามาได้ เพราะทางคลินิกแต่ละแห่งจะมีการทำความสะอาดบริเวณที่ทำ

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีดฟิลเลอร์ 

  1. ห้ามบีบ นวด แกะ เกา บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ 
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดดหรืออากาศร้อนจัด 
  3. งดออกกำลังกายหนัก 48 ชม.แรก 
  4. งดเลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึก 1 เดือน 
  5. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 
  6. งดทานของแสลงทุกชนิด
  7. ดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5-2 ลิตร/วัน

ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบได้

  1. รู้สึกเจ็บ ปวด แสบ คัน ในช่วง 1 วันหลังฉีดฟิลเลอร์ หากหลังจากนี้ยังคงเจ็บอยู่มาก หรือมีอาการบวมแดงร้อนร่วมด้วย ควรพบแพทย์ เนื่องจากอาจมีอาการอักเสบติดเชื้อ
  2. อาการบวม แดง ช้ำ จะเป็นมากที่สุดในช่วง 2 – 3 วันแรก แต่อาการดังกล่าวจะหายไปเองใน 2 สัปดาห์

แชร์โพสต์นี้:

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมรับสิทธิพิเศษ! คลิก

RATCHAWI CLINIC สร้างความมั่นใจ "ในแบบที่เป็นคุณ"