PRP คืออะไร? ไม่เหมาะสมกับใครบ้าง

       Platelet Rich Plasma หรือ PRP คือ กระบวนการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยเป็นการนำเลือดของผู้เข้ารับการรักษามาทำการปั่นแยกเลือดด้วยความเร็วสูงเพื่อให้ได้พลาสมาที่มีลักษณะสีเหลืองใสออกมา และนำไปสกัดเอาเกล็ดเลือดจากชั้นที่เข้มข้นที่สุดออกใช้งาน โดยภายในเกล็ดเลือดมีสารที่เรียกว่า Growth Factor หรือสารกระตุ้นการเจริญเติบโต เมื่อสกัดออกมาในปริมาณที่พอเหมาะแล้วก็จะทำการฉีดลงไปในจุดที่ต้องการแก้ปัญหา ซึ่งเซลล์ Growth Factor จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์บริเวณนั้นให้แบ่งตัวหรือเพิ่มจำนวนได้อย่าววรวดเร็ว

ข้อดีของการทำ PRP

  1. PRP ช่วยรักษาสิว รอยสิว หลุมสิว รอยแผลเป็น รอยจุดด่างดำ ฝ้า กระ
  2. ช่วยลดเลือนริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ริ้วรอยบนหน้าผาก หว่างคิ้ว หรือหางตา
  3. ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง แก้ปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ผิวแห้งกร้าน
  4. ช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำรอบดวงตาและฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ ทำให้หน้าดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส ลดเลือนรอยหมองคล้ำ
  5. PRP ช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว และซ่อมแซมเซลล์ผิวเดิม
  6. เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  7. การฉีด PRP เป็นการใช้เลือดของตนเองทำให้มีความเสี่ยงการแพ้น้อยมาก

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ PRP

       สุขภาพผิวหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ จากการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ได้รับการฟื้นฟู กระตุ้น และเสริมสร้างผิวจากภายในในระดับลึก เพิ่มความเปล่งปลั่งดูมีสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ โดยระยะเวลาในการทำ PRP นั้น จะเห็นผลอย่างชัดเจนภายในระยะเวลา 3 เดือน แต่เพื่อการประสิทธิภาพที่เหมาะสมที่สุด ควรทำซ้ำ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2-4 สัปดาห์ หรือตามดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานกว่า 1 ปี ทั้งนี้ผลของการรักษาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมถึงการดูแลตัวเองหลังการรักษาร่วมด้วย

PRP ไม่เหมาะสมกับใคร?

  1. ผู้ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  2. ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาต้านเกล็ดเลือดหรือละลายลิ่มเลือด
  3. ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางหรือผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับโรคเลือด เช่น โรคเกล็ดเลือดต่ำ
  4. ผู้ป่วยกำลังมีภาวะโรคติดเชื้อในกระแสเลือด
  5. โรคผิวหนังที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณศีรษะ เช่น เป็นเชื้อรา
  6. ผู้เคยมีประวัติ มีผื่น หรือมีอาการแพ้ หลังฉีด PRP

การเตรียมตัวก่อนทำ PRP

  1. ดื่มน้ำมาก ๆ 1-2 ลิตร ก่อนทำ 1-2 วัน
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อความพร้อมของร่างกาย
  3. ห้ามรับประทานยาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ในกลุ่ม ASA หรือ NSIAD ก่อนฉีด ประมาณ 3-4 วัน
  4. งดดื่มแอลกอฮอลล์ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2-3 วัน
  5. งดอาหารที่มีไขมันสูง
  6. แจ้งโรคประจำตัว และประวัติการแพ้ยาให้แพทย์ทราบ

การปฎิบัติตนหลังทำ PRP

  1. งดล้างหน้าหลังทำการรักษา 1 วัน
  2. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน เครื่องดื่มร้อน และอาหารรสจัดๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการช้ำและบวมรุนแรงมากขึ้น
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยา aspirin หรือ nurofen เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นตัวยาที่มีผลต่อเกล็ดเลือด อาจทำให้อาการฟกช้ำรุนแรงขึ้น
  4. หลีกเลี่ยงอาหารเสริม เช่น วิตามินรวม น้ำมันปลา Glucosamine และวิตามินบีหรือวิตามินอี ซึ่งเป็นสารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้อาการฟกช้ำรุนแรงขึ้นเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
  5. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ หรือออกกำลังกาย หนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
  6. หลีกเลี่ยงการออกแดด หรือการอาบแดดอย่างน้อย 72 ชั่วโมง
  7. อย่าถู หรือแกะเกาบริเวณที่ทำการรักษา
  8. หลีกเลี่ยงการประคบเย็นบริเวณที่ทำการรักษา
  9. สามารถแต่งหน้าได้หลังทำการรักษาแล้ว 24 ชั่วโมง
แชร์โพสต์นี้:

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมรับสิทธิพิเศษ! คลิก

RATCHAWI CLINIC สร้างความมั่นใจ "ในแบบที่เป็นคุณ"